อากาศยามเช้ากำลังกระจายความสดชื่น
แสงอ่อนจากท้องฟ้าสาดส่องเข้ามาสัมผัสใบหน้าหญิงสาว
จนคนกำลังหลับใหลต้องเปิดเปลือกตาและยันกายลุกขึ้นนั่ง ดวงตาขมุกขมัวมองผ่านหน้าต่างบานกระจกใส
ตื่นใจกับเทือกเขาสลับซับซ้อนท่ามกลางแสงแดดอ่อนยามเช้า..ช่างเป็นทัศนียภาพสวยงาม
รัญชิดาอาบน้ำแต่งตัวสวมชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปแขนสั้น
เนื้อผ้าสีขาวปักลวดลายเป็นรูปดอกไม้เล็ก ๆ คู่กับกางเกงยีนขาสี่ส่วนสีน้ำเงินเข้ม
ผมสวยถูกรวบหางม้า ทาแป้งบาง ๆ ทาปากสีชมพูอ่อน ๆ
เสร็จแล้วเดินออกจากห้องลงบันไดมาสู่ชั้นล่าง
ปฐพีนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอเธออยู่ที่โต๊ะอาหาร ป้ามาลัย บัว และนางยืนเยื้องไปทางด้านหลัง
ป้าแม่บ้านส่งยิ้มเจื่อนบ่งบอกถึงสภาวะไม่ค่อยจะดี ส่วนบัวยังคงยิ้มกว้างเบิกบานที่ได้มองใบหน้าสวย
ๆ ของนายหญิงสาว พร้อมส่งเสียงกระซิบกระซาบกับนางพอให้ได้ยินว่า เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้สวยได้สักครึ่งของนายหญิงเถิด
รัญชิดาหย่อนกายลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
เธอรู้ตัวว่าต้องถูกปฐพีตำหนิเรื่องตื่นสาย จึงพยายามควบคุมใจไม่ให้หวาดหวั่น และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ
“ดูเหมือนนี่คงเป็นบทเรียนแรกของการปรับตัวสินะ”
ปฐพีส่งหนังสือพิมพ์ในมือให้ป้ามาลัยรับไปถือไว้
“ต่อไปฉันจะตื่นให้ทันคุณค่ะ” พูดจบ
เธอตั้งตารอฟังว่าเขาจะพูดกลับมาอย่างไรอีก
“มัวแต่ฝันถึงอิสรภาพเพลินจนลืมตื่นนะสิ” ภายในดวงตาคมมีแววยิ้มเยาะ
ขณะมือขยับจับช้อนเริ่มรับประทานอาหาร
“คุณจะคิดยังไงก็ได้ค่ะ”
รัญชิดาเกร็งมือ เกิดความรู้สึกระอากับถ้อยคำของผู้ชายคนนี้
ก่อนหน้าเธอคิดว่าพร้อมปรับตัวรับฟังคำสั่งจากเขาอย่างว่าง่าย
แต่มาได้ยินคำตอแยถึงอิสรภาพกันแบบนี้ มันทำให้เธอคิดเคืองจนไม่อยากจะอ่อนข้อให้เขาเลยทีเดียว
บรรยากาศระหว่างรับประทานอาหารเช้า จึงดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ ชวนให้รู้สึกอึดอัด
ปฐพีจับจ้องใบหน้านิ่งงันของหญิงสาว
สะใจอยู่มากกับการได้พลิกผันชีวิตผู้หญิงไฮโซคนหนึ่งที่เคยแต่เดินบนเส้นทางชนชั้น แวดล้อมด้วยวัตถุหรูและคบหาแต่คนอยู่ในสังคมเดียวกัน
ให้มาดำเนินชีวิตบนวิถีชนบทแห่งนี้
ชายหนุ่มรวบช้อน
จากนั้นสั่งให้บัวชงกาแฟ ก่อนจะเบนสายตามาหาหญิงสาวและเอ่ยเสียงห้าวสั่งการ
“รัญชิดา
กินเสร็จแล้วตามฉันขึ้นไปห้องทำงาน”
“ค่ะ”
เธอตอบรับเสียงแผ่ว และรวบช้อนบ้างทั้งที่เพิ่งจะตักอาหารใส่ปากไม่กี่คำ
หญิงสาวปรายตามองร่างสูงใหญ่เดินห่างโต๊ะอาหารออกไป
พลางคิดว่า เธอไม่มีทางหลีกเร้นชะตากรรมนี้พ้น
ฉะนั้นคงต้องพยายามทำใจยอมรับคำบัญชาจากเขา เพื่อความสบายใจเสียดีกว่า
“ป้าดีใจค่ะที่บ้านไร่ได้คุณรัญมาเป็นนายหญิง
เออ ยังไงก็อดทนสักนิดนะคะ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
รัญชิดาจับน้ำเสียงห่วงใยของป้าแม่บ้านที่มีต่อเธอได้
คำปลอบอ่อนโยนนั้นคงคาดหวังทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดใจยามเช้า เธอแค่นเสียงหัวเราะก่อนเอ่ยขอบคุณและลุกตามเจ้านายตัวใหญ่ไป
นาทีต่อมารัญชิดาหยุดยืนหน้าห้องทำงานของปฐพีซึ่งอยู่ติดกับห้องหนังสือ
เธอยกมือขึ้นเคาะประตู ได้ยินคนข้างในอนุญาตจึงเปิดเข้าไป
หญิงสาวยืนอยู่บนพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า
สายตากวาดสำรวจอย่างคร่าว ๆ สังเกตเห็นบนชั้นติดผนัง หรือแม้แต่บนโต๊ะทำงานล้วนเต็มไปด้วยเอกสาร
เมื่อได้ยินเสียงเขาพูดขึ้น เธอจึงหยุดสายตาที่แผ่นหลังของคนร่างสูงซึ่งยืนหันหลังมองออกไปภายนอกหน้าต่าง
“เธอคงไม่คิดว่าการเป็นนายหญิงจะต้องนั่งกินนอนกินหรอกนะ”
“ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาอยู่อย่างไร้ค่าแบบนั้นหรอกค่ะ”
เธอพูดย้อนเพราะนึกฉุน คนอะไรหาเรื่องมาพูดแดกดันกันได้ตลอด
“คิดได้ก็ดี งั้นเอาแฟ้มพวกนี้ไปศึกษาซะ”
เขาหันกลับมา พยักพเยิดให้เธอมองไปที่แฟ้มเอกสารบนโต๊ะ
รัญชิดาเอื้อมมือไปหอบแฟ้มขึ้นมาแต่โดยดี
อ่านหน้ากระดาษที่แปะไว้บนแฟ้ม ‘สายพันธุ์องุ่น’
พร้อมสูดหายใจเตรียมพร้อมรับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่
“เธอต้องทำงานในไร่เหมือนคนอื่น
ๆ ฉันมีเวลาให้เธอศึกษาสายพันธุ์องุ่นอย่างคร่าว ๆ
จากนั้นเราจะเดินทางไปที่ไร่ด้วยกัน”
รัญชิดาตื่นเต้นหลังจากฟังชายหนุ่มพูดจบ
ไร่องุ่น! ให้ตายสิ
เธอกำลังจะได้ยืนอยู่ท่ามกลางดงองุ่น หัวใจรื่นรมย์ราวจะได้เข้าไปท่องเที่ยวในแดนเนรมิต
ทว่าความรื่นรมย์กลับถูกหยุดด้วยถ้อยคำส่งท้ายว่า
“อย่าลิงโลดไป
เพราะเธอยังไม่เห็นว่างานในไร่มันลำบากแค่ไหน ลำบากจนเธอจะไม่มีเวลามานอนฝันหวานถึงอิสรภาพเลยแหละ”
‘อีกแล้ว’ รัญชิดาย่นคิ้วให้กับรอยยิ้มเยาะที่จุดตรงมุมปากหนานั่น
เฮอะ! ผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อทำลายความฝันของคนอื่นแท้เชียว
ขณะนั้นกาแฟส่งกลิ่นหอมอบอวลเข้ามา
เธอใช้จังหวะตอนบัวถือถาดกาแฟมาเสิร์ฟ หอบแฟ้มเดินลิ่วออกมาภายนอกทันที
ใบหน้าตึงกับอารมณ์บูดบึ้งของหญิงสาว
ส่งผลให้แฟ้มในมือถูกโยนกระแทกไปบนที่นอน พร้อมเสียงสบถออกมาด้วยความโมโห
“ผู้ชายปากร้าย! คอยดูนะ สักวัน
ฉันจะทำให้คุณต้องรับผลจากความปากร้ายของตัวเอง!”
เพราะสำหรับเธอแล้วการเป็นคนงานในไร่องุ่น
มันไม่ได้ทำให้เธอวิตกกังวลแต่อย่างใด ในเมื่อเธอยอมรับชะตาชีวิตที่พลิกผันได้ ใจเธอก็เข้มแข็งพอจะพิสูจน์ให้เขาเห็นถึงความสามารถในบทบาทใหม่ที่เธอกำลังเริ่มต้น
และเธอจะไม่มีวันให้เขายิ้มเยาะใส่หน้าเธอได้อีก
ริมฝีปากอิ่มผุดรอยยิ้มอย่างมีหวังขณะมือเรียวเอื้อมหยิบแฟ้มขึ้นมาถือในมืออีกครั้ง
ไร่ ‘ปานเทวา’ แสงอ่อนจากดวงอาทิตย์เหมือนกระจกสะท้อนจากบนฟากฟ้าสาดแสงสว่างตาลงสู่พื้นดิน
ทั่วบริเวณพื้นที่ไร่กว้างขวางแห่งนี้
บางมุมมีคนงานกำลังพรวนดินขึ้นเป็นแปลงแถวยาว และบางแปลงมีต้นองุ่นแตกใบสีเขียวอ่อน
ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เห็นต่างมีใบองุ่นบานสะพรั่งรองรับผลพวงดกครึ้ม
รัญชิดาก้าวลงจากรถกระบะพร้อมหนุ่มเจ้าของไร่
ดวงตากลมมนเบิกกว้างตะลึงงันกับพวงองุ่นสะพรั่งสุดลูกหูลูกตา เธอคิดว่า ณ ที่แห่งนี้ช่างเหมือนสวนสวรรค์ในเทพนิยาย
“สวยจัง”
ปฐพีชำเลืองมองคนข้างกายพึมพำแวบหนึ่ง แล้วหันไปสนใจชายวัยกลางคนรูปร่างบึกบึนแต่งกายด้วยชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนสีซีดจาง
มีดินโคลนเปรอะเปื้อนอยู่เป็นหย่อม ๆ
“ฝั่งนั้นเรียบร้อยดีมั้ยอาคำมูล?” เขาเอ่ยถามบุคคลผู้มีบรรพบุรุษทำงานในไร่สืบต่อกันมาชั่วอายุคน
“เรียบร้อยดี อาเพิ่มจำนวนคนเฝ้าตอนกลางคืนอีกสิบคน”
คำมูลกล่าวรายงาน และส่งยิ้มเป็นมิตรต่อหญิงสาว
“รัญชิดา นี่อาคำมูล เป็นหัวหน้าคนงาน
มีสิทธิ์สั่งการทุกอย่างแทนในเวลาฉันไม่อยู่” ปฐพีหันมาแนะนำพร้อมบ่งบอกถึงสิทธิหน้าที่ของบุคคลตรงหน้า
คล้ายกำชับต่อเธออีกทีว่า ถ้าเขาไม่อยู่ยังมีอาคำมูลจับตาดูความเคลื่อนไหวของเธอ
“สวัสดีค่ะอาคำมูล” รัญชิดาไม่ทันคิดว่าควรจะเรียกแทนชายตรงหน้าว่าอย่างไร
จึงเรียกเช่นเดียวกับปฐพี เมื่อเห็นว่าเขาไม่ทักท้วงอะไรเธอจึงวางใจ
“ไร่ปานเทวามีนายหญิงสวยขนาดนี้
องุ่นคงขึ้นงามตลอดปีแน่” คำมูลไม่ได้กล่าวเกินจริง
เพราะหญิงสาวรุ่นตรงหน้าเป็นผู้หญิงสวยไร้ที่ติ
“เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี
แต่องุ่นต้องใส่ปุ๋ยนะครับอา ไม่ได้หว่านด้วยเสน่ห์ผู้หญิง” ปฐพีตวัดหางตาเห็นริมฝีปากอิ่มยิ้มระรื่นแล้วนึกหมั่นไส้
ก่อนมองผ่านไปกลุ่มคนงานกำลังพลิกหน้าดินตาก
คำมูลประเมินสายตาเจ้านายที่มองจำนวนคนงานน้อยกว่าปกติแล้ว
จึงอธิบาย “วันนี้เหลือคนงานไม่กี่คนลงแปลงนี้
เพราะส่วนใหญ่ให้ไปทำทางฝั่งตะวันตก”
“เมื่อคืนพวกเขาคงเหนื่อย
ปล่อยให้พักผ่อนกันสักวันเถอะ” ปฐพีให้เหตุผล เพราะเขาจะเข้มงวดเฉพาะในชั่วโมงงาน
แต่บางครั้งถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินเขาจะอะลุ้มอล่วยบ้าง
“แปลงนี้ก็คงเสร็จช้ากว่าแปลงอื่น” คำมูลกล่าว
เพราะแต่ละแปลงต่างมีกำหนดเวลาลงงาน
“มันก็ไม่แน่ ก็วันนี้อามีคนงานเพิ่มอีกหนึ่งคนนี่”
ปฐพีพูดจบ ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้ารับรู้และไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ขณะที่ปฐพีเบนสายตามามองใบหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่งก่อนประกาศ
“จากวันนี้ นายหญิงรัญจะมาช่วยลงแปลงปลูกทุกวัน ขอให้ทุกคนช่วยสอนงานนายหญิงด้วย”
แววตาขรึมซุกซ่อนความพอใจ เมื่อคาดการณ์ว่าผู้หญิงรูปร่างบอบบางคงทนต่อสภาวะอากาศร้อนระอุได้ไม่นาน
จะต้องเผยธาตุแท้ของความเป็นลูกผู้ดีไม่ติดดินและก่อความวุ่นวายใจให้กับคนงานแน่
ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ เขาจะให้เหตุผลว่าเป็นเพราะคำดูถูกดูแคลนที่เจ้าหล่อนมีต่อหนุ่มชาวไร่
จึงต้องเผชิญผลกรรมเช่นนี้
“นึกว่านายจะเข้ามาช่วงบ่ายเสียอีก” หญิงร่างท้วมวัยสี่สิบปี
กล่าวปนยิ้มขณะเดินมาใกล้และส่งสายตามองสนอกสนใจร่างงามข้างกายนายหนุ่ม
“ก็ว่าจะเข้าบ่ายแต่เช้านี้ผมมีเรื่องต้องไปสะสาง
อีกอย่างผมมีคนงานขุดดินที่อยากฝากให้พี่นุชช่วยดูแล” เขาเบนสายตามาทางคนข้าง ๆ ก่อนกล่าวแนะนำ
“พี่นุชเป็นหัวหน้าคนงานหญิง ดูแลบัญชีเบิกจ่ายและบัญชีวัสดุอุปกรณ์
สิ่งที่เธอต้องทำคือหลังจากพลิกหน้าดินเสร็จ เธอจะต้องมาเป็นผู้ช่วยพี่นุชทำบัญชี”
น้ำเสียงสั่งการไร้ซึ่งความอ่อนโยน
นงนุชหัวหน้าคนงานหญิงที่มีรอยยิ้มสดใสถึงกลับยิ้มเจื่อนลง
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะพี่นุช”
รัญชิดายกมือไหว้หญิงที่มากวัยกว่าและเรียกแทนตัวอีกฝ่ายว่าพี่เหมือนปฐพี
ซึ่งนงนุชรีบรับไหว้พร้อมกุมมือเธอลงด้วยความเกรงใจ
“อย่าไหว้นุชเลยค่ะนายหญิง เออ
มือนายหญิงนุ่มจัง” นงนุชกล่าวพร้อมสำรวจร่างเล็กซึ่งใบหน้าสวยผูกผมเผยเครื่องเครางดงาม
และแม้จะอยู่ในชุดวัยรุ่นดูสะอาดตา สวมรองเท้าแตะธรรมดา
แต่ความเป็นลูกผู้ดีมีสกุลยังเด่นชัด
นงนุชมองแล้วถอนใจ
เพราะไม่ว่าดูอย่างไรใจเธอก็หาได้มีความเห็นเดียวกับเจ้านาย ที่จะให้นายหญิงสาวมาทำงานขุดดิน
ปฐพีสังเกตเห็นสายตาขัดแย้งของสาวรุ่นพี่
และรู้ว่าต้องผจญกับสายตาไม่เห็นด้วยอีกมากมาย แต่เพื่อความหวังของปรเมศร์ เขาจะต้องทำให้รัญชิดาลงมือปลูกองุ่นโตในพื้นที่ไร่แห่งนี้ให้ได้
“ลงมือทำงานเถอะสายมากจะพลิกหน้าดินไม่ทันแดด”
แม้ใจจะคิดค้านเจ้านาย แต่ได้รับคำสั่งแล้วคำมูลและนงนุชจำต้องปฏิบัติตาม
ทั้งสองพารัญชิดามายังแปลงปลูกที่มีเหล่าคนงานหญิงกำลังขะมักเขม้นงานดินอยู่สี่คน ซึ่งดินขุดขึ้นมากำลังถูกเกลี่ยเพื่อแผ่ตาก เธอมองสักพักก่อนหันกลับไปเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของปฐพีหายลับเข้าไปในรถกระบะ
จากนั้นขับออกไป ปฐพีคงไปสะสางงานตามที่บอกนงนุช
เธอหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงคำมูลกล่าว
“ดินพวกนี้เป็นดินที่ทำการเก็บเกี่ยวผลมาพักหนึ่งแล้ว
และถ้าจะทำแปลงปลูกใหม่จะต้องขุดดินมาตากก่อน ตากไว้หนึ่งสัปดาห์ หรือรอจนแน่ใจว่าดินแห้งสนิทเพราะองุ่นไม่ชอบดินเหนียว
จากนั้นจึงจะนำมาใช้งาน”
สิ่งที่คำมูลบอกถือเป็นความรู้การปลูกองุ่นขั้นพื้นฐาน
คำมูลบอกเล่าทฤษฎีทุกขั้นตอนอย่างคร่าว ๆ เขาจึงให้เธอลงมือปฏิบัติโดยมีนงนุชคอยให้คำแนะนำอยู่ข้าง
ๆ ผ่านไปไม่เท่าไหร่ดินที่เธอขุดขึ้นมาเป็นกองเล็ก
ๆ เรียกเหงื่อจนท่วมตัวทีเดียว
“ฉันว่าต้นองุ่นมันจะตายตั้งแต่ยังอยู่ในดินแน่ๆ
แค่เห็นการเริ่มต้นฉันยังทำได้ไม่ดีเลย” แสงแดดยามสายที่เริ่มร้อนแรงมากขึ้น
ส่งผลให้แก้มนวลมีสีแดงปลั่ง ใบหน้าสวย ๆ มีเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ยังเผยยิ้มสดใส
คำมูลและนงนุชยิ้มให้กำลังใจ รู้สึกทึ่งกับนายหญิงสาวที่ช่วยคนงานพลิกหน้าดินขึ้นมาตาก
โดยไม่ปริปากบ่นเรื่องความร้อนของแสงแดดเลยสักคำ
“ไม่ต้องห่วงหรอกนายหญิง พวกเราต่างต้องช่วยกัน
เพราะการเพาะปลูกมันสำคัญทุกขั้นตอน” คำมูลกล่าว อย่างชื่นชมความไม่ย่อท้อของอีกฝ่าย
แม้ตอนแรกจะนึกค้านการกระทำของเจ้านายหนุ่ม แต่ลึก ๆ กลับรู้สึกพอใจที่เจ้านายได้นายหญิงแสนสวยที่ไม่รังเกียจดินโคลน
ส่วนทางด้านปฐพี ชายหนุ่มขับรถมาบ้านไร่เรืองเดชพร้อมกับเมฆที่นั่งอยู่กระบะหลัง เขาทำตามที่พูดไว้คือให้เมฆเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อมาชำระหนี้ให้เมธี
รถหยุดลงตรงด้านหน้าทางเข้า เมฆลงไปเพียงลำพังส่วนเขานั่งรออยู่ในรถ
ระหว่างนั้นเขาเห็นชายคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินออกมาจากอาณาเขตบ้านไร่ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
เหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ก่อนจะหลุบหายเข้าไปในรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่และขับสวนเขาออกไปอย่างเร็ว
‘คนในสำนักงานนักสืบ?’ เมื่อจำบุคคลนั้นได้ ปฐพีก็นึกแปลกใจ
เหตุใดบุคคลดังกล่าวจึงมาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านไร่ของเมธี..?