รัญชิดานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับปฐพีแล้ว
ป้ามาลัยพยักหน้าให้บัวลงมือตักข้าวใส่จานโดยตนเองยืนควบคุมอยู่ใกล้ ๆ
ระหว่างรับประทานเสียงป้าแม่บ้านบอกเล่าถึงรสชาติอาหารพื้นเมือง และไถ่ถามถึงสิ่งที่เธออยากกินในแต่ละมื้อ เธอยิ้มบ้างตอบบ้างเป็นอย่างแรกเสียส่วนใหญ่
ชำเลืองมองคนนั่งตรงข้าม
ก็เห็นเขาก้มหน้าก้มตากิน ไม่ได้สนใจว่าใครจะคุยอะไรกัน คงจะหิวมากจริง ๆ เพราะช่วงแวะจุดพักรถเขาดื่มกาแฟถ้วยเดียว
ต่างจากเธอถึงจะหิวจนไส้กิ่ว แต่กลับกินอะไรไม่ลงเสียดื้อ ๆ
“นายหญิงทานได้น้อยเหลือเกิน” ป้ามาลัยเอ่ยท้วง เมื่อเห็นข้าวในจานนายหญิงสาวพร่องไปนิดเดียว
รัญชิดามองสบสายตาห่วงใยของผู้อาวุโส ก่อนให้เหตุผล
“ฝีมือป้ามาลัยอร่อยนะคะ แต่รัญรู้สึกเพลีย ๆ ทำให้กินไม่ค่อยลงค่ะ” เธอยอมรับว่าอาหารมื้อนี้ปรุงมาอร่อย
แต่เธอกินไม่ได้เยอะไปกว่านี้
ส่วนทางด้านปฐพี ท่าทางภายนอกเย็นชาลึกในใจกำลังสับสนกับคำร้องขออีกข้อของปรเมศร์
นั่นคือให้รัญชิดาลงแปลงปลูกในไร่กับเขาทุกวัน
ปรเมศร์ให้เหตุผลว่าอยากเห็นองุ่นของหญิงสาวเติบโตในพื้นที่ไร่
แต่ปฐพีกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาอยากให้รัญชิดาอยู่บ้านไร่มากกว่า นอกเสียจากว่าเจ้าหล่อนทนอยู่กับความเงียบเหงาไม่ได้
“ฉันหวังว่าบ้านไร่คงไม่ทำให้เธอรู้สึกเปลี่ยวเหงาเกินไปหรอกนะ”
ถ้อยคำเหน็บแนมของเขา ถึงกลับทำให้คนฟังรวบช้อน
“ไม่นี่คะ..บ้านไร่น่าอยู่และทุกคนใจดี” พูดจบ หญิงสาวส่งสายตาขอบคุณทุกคนที่มีไมตรีต่อเธอ
“ชนบทรอบด้านมีแต่ไร่
ไกลออกไปก็ภูเขา ถ้าสาวไฮโซอย่างเธอจะรู้สึกอ้างว้างมันไม่ใช่เรื่องแปลก”
รัญชิดามองมุมปากยกยิ้ม
ราวเย้ยหยันต่อความรู้สึกของเธอ เธออยากจะตอบโต้ให้สาแก่ใจ ทว่า..‘การขายอิสรภาพทำให้เธอไม่มีสิทธิ์คิดค้านคำพูดของเขาด้วยหรือเปล่า
ถ้าเป็นเช่นนั้น...’ หญิงสาวสำนึกสถานะของตน
จึงจำทนข่มกลั้นคำค้านในใจ
“เงียบทำไมล่ะ
หรือแค่คิดว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตก็แย่แล้ว” ปฐพีใช้น้ำเสียงลากยาว ฟังคล้ายท้าทายอยู่ในที
“คุณอยากได้คำตอบไปทำไมกันคะคุณปฐพี
ในเมื่อฉันถูกจองจำอยู่ที่นี่แล้ว จะรู้สึกอ้างว้างหรือเปลี่ยวเหงา
มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คุณจะยังต้องการคำตอบอะไรจากฉันอีก” รัญชิดาแทบอยากแหวใส่
เพราะเธอไม่ได้รู้สึกประหวั่นวาจาคุกคามของเขาเหมือนช่วงแรก ๆ แล้ว ในเมื่อคิดว่าระหว่างเธอกับผู้ชายเหลือทนคนนี้ต้องมีเรื่องขัดแย้งกันอยู่เสมอแน่
“นายหญิงน่ารักออกค่ะ เข้ากับคนที่นี่ได้ไม่ยากหรอกนะคะ”
ป้ามาลัยเอ่ยแทรก หวังทำลายสงครามประสาท แต่การเอ่ยสนับสนุนนายหญิงแสนสวยออกหน้าออกตาแบบนี้
มันก็ทำให้นายหนุ่มอดแค่นเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้
“ฉันแค่อยากรู้
ว่านายหญิงของป้ามีความอดทนพอจะเรียนรู้การใช้ชีวิตเป็นสาวชาวไร่ร่วมกับคนอื่น ๆ
หรือเปล่าเท่านั้น” ปฐพีนึกหมั่นไส้อีกฝ่าย ที่ร่ายมนต์เสน่ห์ใส่คนของเขาโดยง่าย
ทั้งที่เพิ่งมาแท้ ๆ
“ฉันอยู่ได้ทุกที่ค่ะป้ามาลัย
ขอแค่เวลาปรับตัวนิดหน่อยเท่านั้น” รัญชิดากล่าวกับผู้อาวุโสใจดี จะมีอะไรยากนักหนากับการใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น
“ดี ถ้าคิดว่าปรับตัวได้ง่าย
แต่อย่าร้องไห้ขอกลับบ้านก่อนได้เรียนรู้ชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ล่ะ” ปฐพียังไม่พ้นยิ้มเยาะ
“ฉันไม่ทำตัวงี่เง่าแบบนั้นแน่นอน
เพราะฉันรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่ถึงจะปรับตัวอยู่ที่นี่ได้ดีแค่ไหน
ฉันยังหวังว่า..” เมื่อคิดอยากพูดสิ่งที่หวังไว้ในใจ เธอดันเกิดอาการอึกอัก
“หวังว่าอะไร?”
สายตาคมจดจ่อรอฟัง
“สักวัน..คุณจะคืนอิสรภาพ”
น้ำเสียงแผ่วเบา บ่งบอกถึงความไม่มั่นใจในสิ่งที่พูดออกมาเลยสักนิด
ซึ่งนั่นก็ทำให้สิ่งที่เอ่ยออกไปกลายเป็นเรื่องชวนขบขันสำหรับชายหนุ่ม เขาถึงกลับปล่อยเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆ อิสรภาพ เธอคิดว่ากำลังพูดอะไรอยู่รึรัญชิดา?”
“มีอะไรน่าขำ
ฉันแค่บอกว่าหวัง ไม่ได้ยินหรือคะแค่หวัง!”
รัญชิดาฉุนวูบ เมื่อคนตรงหน้าหัวเราะใส่ราวอิสรภาพของเธอเป็นเรื่องตลก
“ได้ยินสิ
ได้ยินชัดเลยล่ะว่าเธอหวังอิสรภาพ แต่รัญชิดา ฟังนะ อิสรภาพที่ต้องถูกฝังอยู่ที่นี่ตลอดกาล
เธอคิดว่ามันจะมีหวังหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงเยียบเย็น กับท่วงท่าสบายกลายเป็นเย็นชา
เป็นคำตอบกลาย ๆ ว่าอิสรภาพของเธอไม่ใช่เรื่องตลก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปได้เช่นกัน
“..”
รัญชิดาจนคำพูด เมื่อคิดได้ว่าตนคงหมดสิทธิ์คิดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่ลงนามตามเงื่อนไขสัญญาแล้วนั่นเอง
“ผมจะเข้านอนเลย
ป้ามาลัยช่วยดูแลนายหญิงของป้าด้วยนะ” ปฐพีตัดบทด้วยการหันไปเอ่ยกับป้าแม่บ้าน
ก่อนจะหันกลับมาหาเธออีกครั้ง เพื่อทิ้งคำพูดสุดท้าย
“ค่ำคืนนี้ขอให้เธอหลับสบาย
อย่าเก็บเอาความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปฝัน เพราะมันไม่มีวันนั้นสำหรับเธอ”
รัญชิดารู้ว่าปฐพีมาดหมายตามคำพูดจริง
ๆ เธอสังเกตเห็นแววตาห่วงใยของป้ามาลัย ป้าแม่บ้านต้องเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างดี
เพราะในความอ่อนโยนนั้นคล้ายปลุกปลอบให้เธออดทน
และเหมือนบ่งบอกว่านี่แค่การเริ่มต้นของสงครามเย็นเท่านั้น
ปฐพีรวบช้อนและลุกพรวดขึ้น
ทว่ายังไม่ทันร่างใหญ่จะก้าวเดิน เสียงเรียกดังจากหน้าบ้านฉุดให้เขาต้องหยุดยืนรอฟังเสียก่อน
“นายใหญ่! นายใหญ่!”
เสียงเรียกปนหอบเหมือนคนกำลังร้อนรนอย่างหนัก
ดึงความสนใจจากปฐพีและทุกคนให้ต้องออกไปดู
“มีเรื่องอะไรบุญเที่ยง!” ปฐพีเอ่ยถาม สีหน้าตื่นตระหนกของคนงานชายวัยฉกรรจ์
ทำให้เขานึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“ท้ายไร่ฝั่งตะวันตกเกิดเพลิงครับนาย
ตอนนี้กำลังช่วยกันดับ” บุญเที่ยงรีบรายงานพร้อม ๆ กับพยายามสูดเอาอากาศหายใจ
คนงานชายคนอื่นรีบรุดเข้าไร่เพื่อช่วยกันดับไฟ ส่วนเขาอาสาวิ่งจ้ำมาจากบ้านพักซึ่งอยู่ด้านหลังบ้านไร่แทบไม่ได้หยุดสักนาทีเพื่อมาแจ้งข่าวเจ้านาย
ปฐพีฟังบุญเที่ยงจบรีบสาวเท้าตรงดิ่งไปที่รถกระบะ
รอบุญเที่ยงกระโดนขึ้นด้านหลัง รถจึงเคลื่อนตัวแล่นฉิวออกไป รัญชิดาตกตื่นไปตามสถานการณ์นั้นด้วย
ป้ามาลัยขยับมาใกล้และกุมมือเธอไว้
“ไม่ต้องตกใจนะคะ
นายใหญ่จัดการทุกอย่างได้เสมอ”
รัญชิดาหันมาสบตาป้าแม่บ้านที่พยายามพูดปลอบ
เธอพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเห็นหญิงชราคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
สีหน้าหญิงชราตื่นตระหนกไม่แพ้คนงานชายก่อนหน้านั้นเลย
“มาลัย
นายอยู่หรือเปล่า?”
“นายเพิ่งออกไปไร่เมื่อตะกี้
มีอะไรยายเฉิด” ป้ามาลัยเอ่ยถาม ก่อนหันมาบอกกับเธอว่าหญิงชราชื่อยายเฉิดฉายเป็นยายของคนงานหญิงคนหนึ่งของไร่ปานเทวา
อาศัยอยู่ในบ้านพักคนงานด้านหลังบ้านไร่แห่งนี้
“มาลัยช่วยนังนวลมันด้วย
มันกำลังเจ็บท้อง พวกผู้ชายเข้าไร่ไปกันหมด ไม่มีใครอยู่พามันไปหาหมอเลย” พูดขอร้องแล้ว
ยายเฉิดฉายก้มลงเอามือเท้าหัวเข่าด้วยกำลังเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก
ป้าแม่บ้านรีบเข้าไปประคองหญิงชราทันที
“อ้าว
ไหนว่าอีกสองสามวันหมอนัด”
“ก็ว่าอย่างนั้นแหละ
แต่มันตกใจเรื่องไฟไหม้ไร่ฟากโน้น ผัวมันอยู่เวรฝั่งนั้นพอดี มันเป็นห่วงผัวมัน ดิ้นรนจะไปหาผัวให้ได้นี่แหละถึงได้เจ็บท้อง”
“โอ้ย
ทำยังไงล่ะทีนี้ นี่ก็เหลือแต่ผู้หญิงไม่มีใครขับรถเป็นสักคน” ป้ามาลัยบ่นอุบ เพราะพวกผู้ชายต่างตามนายไปไร่กันหมด
“รถของคุณปฐพีจอดอยู่นี่คะ”
เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ย ขณะมองรถโฟร์วีลจอดอยู่
“นายหญิงขับรถเป็นหรือคะ?”
ป้ามาลัยเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาเปล่งประกายพอใจ
“เป็นค่ะ
คนท้องอยู่ที่ไหน พาฉันไปเลยค่ะ ฉันจะพาเธอไปหาหมอเอง” รัญชิดานึกถึงการช่วยเหลือคนกำลังเจ็บท้อง
จึงยังไม่ทันสังเกตสายตาฉงนสงสัยของยายเฉิดฉาย ในนาทีที่หญิงชราได้ยินป้าแม่บ้านเรียกแทนตัวเธอว่า..นายหญิง
“งั้นไปรอที่รถเลยยายเฉิด
เดี๋ยวนายหญิงรัญจะพานังนวลไปโรงพยาบาลเอง” ป้ามาลัยบอกก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินเข้าไปหยิบกุญแจสำรอง
แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นยายเฉิดฉายยังยืนเฉย “เอ้า ยายมัวยืนเฉยอยู่อีก
ไปรอนายหญิงที่รถโน่น” มาลัยเร่งเร้าเมื่อยังเห็นอีกฝ่ายมัวแต่ยืนจ้องนายหญิงสาว
“จ้ะ..จ้ะ.” ยายเฉิดฉายสะดุ้ง
ด้วยเผลอลืมกิจที่ทำให้ตนต้องหอบสังขารวิ่งโล่มาถึงที่นี่ ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
แล้วก้าวออกไป
ไม่นาน รัญชิดาขับรถของปฐพีไปรับหญิงท้องแก่
และกำลังนอนครวญด้วยความเจ็บปวดภายในบ้านพักคนงาน ซึ่งมีป้ามาลัยคอยบอกทาง
ปฐพีขับรถกลับบ้านไร่ด้วยอารมณ์ขุ่นแค้นกับผลองุ่นถูกทำลาย
ผลพวงกำลังจะเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าวันรุ่นขึ้นเพื่อนำส่งตลาดผลสดถูกลอบวางเพลิง แม้จะเสียหายเพียงน้อยนิดแต่ก็ถือว่าผลผลิตของเขาได้รับความเสียหายจากน้ำมือคนชั่วช้า
ที่หวังทำลายชื่อเสียงไร่ปานเทวา ทว่าความแค้นใจยังไม่เท่าความเจ็บปวด เมื่อได้รับรู้ว่าคนวางเพลิงคือคนงานของเขาเอง
‘รู้มือวางเพลิงแล้วครับนายใหญ่’ เสียงทุ้มต่ำของอาคำมูลหัวหน้าคนงานชายวัยกลางคน
รายงานถึงคนลงมือทำเรื่องร้าย ๆ นี้ ในขณะทุกคนกำลังจัดการบริเวณที่ไฟมอดลงแล้ว
‘ใคร?’
ชายหนุ่มเอ่ยถาม และต้องตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึงเมื่อได้รับคำตอบ
‘ไอ้เมฆ’ คำมูลตอบ
ก่อนเล่าถึงเหตุผลักดันให้เมฆตัดสินใจทำความผิดครั้งนี้
ปฐพีเลี้ยวรถเข้าสู่บ้านไร่ด้วยสีหน้าเคียดแค้นชิงชังบุคคลที่ทำให้คนงานของเขาลงมือทำเรื่องร้าย
ๆ เขายังจำน้ำเสียงของเมฆนาทียอมรับสารภาพผิดพร้อมส่งมอบหลักฐานการกระทำผิด นั่นก็คือขวดน้ำมันขนาดหนึ่งลิตรที่เหล่าคนงานมักซื้อเก็บไว้ภายในบ้านเพื่อเติมรถจักรยานยนต์
เมฆสารภาพว่าตนได้ติดหนี้พนันกับเสี่ยขจรแต่เสี่ยขจรขายหนี้ของเขาให้กับนายเมธี
และวันนี้นายเมธีและลูกน้องมาหาตนตรงปากทางเข้าไร่ พวกนั้นกดดันเรื่องหนี้และประกาศจะจัดการกับครอบครัว
ถ้าไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ได้ก่อนรุ่งสาง
เมฆพยายามขอผัดผ่อนจนนายเมธียอมอะลุ้มอล่วย
แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำลายองุ่นที่ไร่ปานเทวาจะจัดส่งกับตลาดสดกลางก่อนรุ่งสาง
ถ้าเขาทำได้นายเมธีจะยกหนี้ให้ทั้งหมด
ลำพังตัวเขาถูกตามหนี้ไม่เท่าไหร่แต่ที่เขาห่วงคือนวลฉวีเมียรัก
เพราะนายเมธีขู่ว่าถ้าเขาไม่สามารถชำระหนี้หรือทำตามเงื่อนไขใด ๆ ได้
นวลฉวีเมียที่กำลังท้องแก่อาจเป็นผู้ชดใช้แทน เขากลุ้มใจมากเพราะกลัวนวลฉวีถูกลอบทำร้าย
เขาจึงตัดสินใจทำตามเงื่อนไขของนายเมธี
เมฆเล่าพร้อมปล่อยน้ำตาไหลพรากเสียใจในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาด
ด้วยนำชีวิตไปยุ่งเกี่ยวกับการพนัน ซึ่งส่งผลร้ายมาสู่ครอบครัวแล้วยังทำลายที่ทำกินของทุกคนอีก
เมฆรู้สึกผิดบาปในนาทีไฟกำลังลุกลามจึงวิ่งไปแจ้งต่อคนอยู่เวรยามเฝ้าไร่ทุกด้านทันที
ปฐพีเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่เดิม
ขณะร่างใหญ่ก้าวลง พลัน..สายตาคมสะดุดกับพื้นที่จอดว่างเปล่า
นางและบัววิ่งออกมาจากในอาคาร
“นายใหญ่ นายหญิงเอารถไปส่งพี่นวลโรงพยาบาลจ้า” เสียงนางรายงานทันทีที่ตรงดิ่งถึงตัวนายหนุ่ม
“ยายเฉิดวิ่งมาหานาย
แต่นายไม่อยู่ นายหญิงก็เลยเป็นคนพาไปจ้า” บัวรายงานสมทบอีกคน
ปฐพีมีสีหน้าเครียดกับเหตุการณ์ประดังมาพร้อมกัน
เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนกลับเข้าไปนั่งในรถ และขับออกไป
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล
ปฐพีสอบถามคนไข้ชื่อนวลฉวี แล้วเดินตรงไปห้องนั้นทันที
ซึ่งด้านหน้าห้องมีผู้เฝ้ารออยู่สามคน รัญชิดานั่งอยู่กับป้ามาลัย
ถัดไปคือผู้เป็นยายของนวลฉวี พอชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้า ทั้งสามก็ลุกยืนตาม
ๆ กัน
“นวลไม่ได้มีกำหนดคลอดอาทิตย์นี้นี่ยายเฉิด”
ปฐพีแปลกใจ เพราะเมฆบอกว่าภรรยามีกำหนดคลอดอาทิตย์หน้า
“คลอดก่อนกำหนดจ้ะนายใหญ่”
ยายเฉิดฉายตอบ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ปากเอ่ยถาม แต่ใจนึกไปถึงเหตุการณ์ร้ายที่สามีของคนไข้เป็นผู้กระทำ
และกำลังจะได้รับบทลงโทษ
“นังนวลมันร้อนรนเดินไม่หยุด เป็นห่วงผัว ร่ำร้องจะไปหาให้ได้
พอหนักเข้าก็ปวดท้องนี่ละจ้ะนาย” ยายเฉิดฉายรายงาน
ปฐพีกำลังสอบถามเรื่องราวจากยายเฉิดฉาย
ขณะนั้นเมฆเดินแกมวิ่งตรงเข้ามาพอดี
“ยาย
นวลเป็นยังไงบ้าง?” เมฆกุมมือยายของเมียรัก และเอ่ยถามอย่างอาทรร้อนใจ
“ไม่เป็นไรแล้ว
ตอนนี้หมอกำลังทำคลอดอยู่ แล้วนี่เอ็งช่วยเขาดับไฟเสร็จแล้วรึ?” ยายเฉิดฉายห่วงใยพื้นที่ทำมาหากินนี้มาก
นำพาให้เมฆคิดได้ต้องรีบหันไปร้องขอความเมตตาจากหนุ่มเจ้าของไร่
“นายใหญ่ครับ
ผมขอดูแลเมียสักพักได้ไหมครับ หายห่วงแล้วผมจะออกจากที่นี่ทันที” เมื่อเมฆพูดจบ
ทุกคนต่างจ้องมองเขาด้วยความแปลกใจ
“ได้
แต่นายจะไม่ได้รับเงินเดือน”
เสียงเข้มบนสีหน้าเครียดขรึมลึกภายในเต็มไปด้วยความลำบากใจ ทว่า
กฎคือกฎถ้าไม่เด็ดขาดมันจะเป็นกฎที่หย่อนยานเกินไป และคนอื่น ๆ
ก็จะไม่รู้จักควบคุมใจตัวเอง
“ครับนาย”
สีหน้าแววตาของเมฆปรากฏความเศร้า เพราะเพียงแค่เขาต้องดิ้นรนหาเงินสะสางหนี้พนันแล้ว
เขายังไม่มีเงินเดือนให้เมียและลูกอีก
“มันเรื่องอะไรกันคะคุณปฐพี
ภรรยาของเขากำลังจะคลอด แล้วคุณไม่ให้เงินเดือน พวกเขาจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายล่ะ”
เสียงหวานเอ่ยแย้งแฝงความห่วงใยต่อคนงาน เพราะในนาทีได้ยินว่าสามีคนงานหญิงจะไม่ได้รับเงินเดือน
เธอรู้สึกว่ามันช่างเป็นเรื่องโหดร้ายสำหรับพวกเขาที่จะไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว
“แค่การทำเรื่องดีเล็กๆน้อยๆ
มันไม่ได้หมายความว่าเธอมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นอะไรนะรัญชิดา”
เสียงห้าวกล่าวเตือนหญิงสาวด้วยสีหน้าเย็นชา เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะก้าวก่ายการปกครองคนงานของเขา
“ฉันรู้ค่ะว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์
และไม่รู้ว่าคนงานของคุณทำผิดอะไรมา แต่การหักเงินเดือนคนที่ภรรยากำลังจะคลอดลูกแบบนี้
มันโหดร้ายเกินไป” รัญชิดามัวตั้งหน้าตั้งตาต่อว่าต่อขานเขา จนหลงลืมผลที่จะได้รับ
“โหดร้ายงั้นหรือ?”
ปฐพีฉุนวูบ ริมฝีปากหนาขบเม้มแน่น ไม่คิดว่าหญิงสาวจะกล้าเอ่ยต่อว่าเขาต่อหน้าคนงานแบบนี้
“ได้..ถ้าเธอคิดว่ามันโหดร้าย ถ้างั้น ฉันจะให้เธอปลูกองุ่นเพื่อชดใช้จำนวนองุ่นถูกทำลาย
เพื่อที่เขาจะได้รับเงินเดือนเหมือนเดิม”
ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มต่อดวงตาเบิกกว้างตรงหน้า
ซึ่งความสับสนใจก่อนหน้าที่ทำให้ปฐพีตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของปรเมศร์ดีไหม
มาบัดนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว เพราะผู้หญิงคนนี้ ‘จะได้รับรู้รสชาติงานไร่ ให้สมกับความจุ้นจ้าน’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น